การเรียกเก็บเงินนอกแอปในญี่ปุ่นคืออะไร

Checkout
Checkout

Stripe Checkout เป็นแบบฟอร์มการชำระเงินสำเร็จรูปที่คุณสามารถปรับแต่งให้เหมาะสำหรับเพิ่มยอดขาย นอกจากนี้คุณยังผสานรวม Checkout เข้ากับเว็บไซต์โดยตรงหรือนำลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่จัดการโดย Stripe ได้อย่างง่ายดาย รวมถึงยังรับการชำระเงินแบบครั้งเดียวหรือการชำระเงินตามรอบบิลได้อีกด้วย

ดูข้อมูลเพิ่มเติม 
  1. บทแนะนำ
  2. การเรียกเก็บเงินนอกแอปคืออะไร
    1. ความแตกต่างระหว่างการเรียกเก็บเงินนอกแอปและในแอป
  3. ทำไมการเรียกเก็บเงินนอกแอปจึงได้รับความสนใจ
  4. ข้อดีของการเรียกเก็บเงินนอกแอป
    1. ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมธุรกรรมให้แพลตฟอร์มแอป
    2. วิธีการชำระเงินที่ครอบคลุม
  5. ข้อเสียของการเรียกเก็บเงินนอกแอป
    1. ทรัพยากรและความยุ่งยากในการตั้งระบบชำระเงินภายในองค์กร
    2. ไม่มีการชำระเงินภายในแอป
  6. สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้
    1. ความคุ้มค่าด้านต้นทุน
    2. ความสามารถในการใช้งาน
    3. การรับรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ภายนอก
  7. ตัวอย่างของบริษัทที่มีการเรียกเก็บเงินนอกแอป
    1. COLOPL
    2. GameWith
    3. Netflix
  8. Stripe Checkout ช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้

การซื้อขายบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ยังคงแพร่หลายในญี่ปุ่น โดยที่สมาร์ทโฟนกลายเป็นของที่ใช้กันทั่วไปแล้ว อุปกรณ์มือถือมีการใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย เช่น การเล่นเกม การช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านแอป และการเพลิดเพลินกับเนื้อหาดิจิทัล

เมื่อต้องชำระเงินสำหรับเนื้อหาต่างๆ เช่น เพลง ภาพยนตร์ และเกมที่เล่นบนแอป การชำระเงินนั้นจะทำผ่านการเรียกเก็บเงินผ่านแอป ซึ่งจะมีอยู่ 2 ประเภท คือ แบบในแอปและแบบนอกแอป โดยประเภทหลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในบทความนี้ เราจะอธิบายพื้นฐานของการเรียกเก็บเงินนอกแอปที่ธุรกิจในญี่ปุ่นจำเป็นต้องรู้ นอกจากนี้ เรายังจะระบุข้อดีและข้อเสีย รวมถึงข้อแตกต่างจากการเรียกเก็บเงินในแอป และเหตุผลที่ทำให้การเรียกเก็บเงินนอกแอปได้รับความสนใจมากขึ้น

เนื้อหาหลักในบทความ

  • การเรียกเก็บเงินนอกแอปคืออะไร
  • ทำไมการเรียกเก็บเงินนอกแอปจึงได้รับความสนใจ
  • ข้อดีของการเรียกเก็บเงินนอกแอป
  • ข้อเสียของการเรียกเก็บเงินนอกแอป
  • สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้
  • ตัวอย่างของบริษัทที่มีการเรียกเก็บเงินนอกแอป
  • Stripe Checkout ช่วยอะไรได้บ้าง

การเรียกเก็บเงินนอกแอปคืออะไร

การเรียกเก็บเงินนอกแอปหมายถึงวิธีการชำระเงินที่ซึ่งการซื้อฟีเจอร์หรือเนื้อหาของแอปจะได้รับการประมวลผลบนหน้าการชำระเงินภายนอก แทนที่จะเป็นภายในตัวแอปเอง โดยลูกค้าจะทำการชำระเงินบนเว็บไซต์ภายนอก ช่วยให้พวกเขาสามารถเลือกวิธีการชำระเงินที่ไม่ได้นำเสนอไว้ภายในแอปได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ความแตกต่างระหว่างการเรียกเก็บเงินนอกแอปและในแอป

การเรียกเก็บเงินในแอปคือวิธีการที่ลูกค้าทำการชำระเงินภายในแอปที่พวกเขากำลังใช้งานอยู่ ความแตกต่างหลักระหว่างการเรียกเก็บเงินนอกแอปและการเรียกเก็บเงินในแอปคือตำแหน่งที่ซึ่งมีการประมวลผลการชำระเงินเกิดขึ้น ความแตกต่างอีกข้อหนึ่งคือแอปนั้นมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแอปหรือไม่ ซึ่งค่าธรรมเนียมเหล่านี้อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อโครงสร้างของแพลตฟอร์มแอป นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้การเรียกเก็บเงินนอกแอปได้รับความสนใจ ซึ่งเราจะอธิบายในส่วนถัดไป

ทำไมการเรียกเก็บเงินนอกแอปจึงได้รับความสนใจ

สำหรับการเรียกเก็บเงินในแอป ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินให้กับแพลตฟอร์มแอป (เช่น Apple สำหรับ App Store, Google สำหรับ Google Play) ซึ่งค่าธรรมเนียมนี้เทียบเท่ากับ 15-30% ของยอดขาย ค่าธรรมเนียมเป็นข้อกังวลที่มีมานานสำหรับผู้ให้บริการแอปจำนวนมาก เนื่องจากสามารถส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการดำเนินงานได้

เมื่อเร็วๆ นี้ App Store ได้ผ่อนปรนข้อจำกัดเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินนอกแอป โดยมี Google ตามมาในไม่ช้า ด้วยเหตุนี้ การเรียกเก็บเงินนอกแอปจึงได้รับอนุญาตสำหรับแอปบางประเภทแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ผู้ให้บริการแอปจึงได้เริ่มนำกลไกที่เปลี่ยนเส้นทางลูกค้าไปยังหน้าการชำระเงินภายนอกมาใช้กันมากขึ้น วิธีนี้สามารถทำให้รายรับเพิ่มขึ้นได้เมื่อเทียบกับการเรียกเก็บเงินในแอปแบบดั้งเดิม โปรดทราบว่าข้อจำกัดที่ได้รับการผ่อนปรนเหล่านี้มีผลใช้เฉพาะกับ "แอปอ่านเนื้อหา" ที่ให้บริการเนื้อหาดิจิทัล เช่น วิดีโอ เพลง อีบุ๊ก รวมถึงนิตยสารและหนังสือพิมพ์ดิจิทัลเท่านั้น โดยไม่รวมแอปเกม

พระราชบัญญัติส่งเสริมการแข่งขันซอฟต์แวร์สมาร์ทโฟน (Smartphone Software Competition Promotion Act) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ "พระราชบัญญัติสมาร์ทโฟนฉบับใหม่" ได้ผ่านการอนุมัติในญี่ปุ่นเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 การผ่านกฎหมายนี้ได้เพิ่มความเข้มข้นให้แก่ความพยายามในการส่งเสริมการแข่งขันในภาคส่วนสมาร์ทโฟน และป้องกันการผูกขาดตลาดโดยบริษัทใดบริษัทหนึ่ง นอกจากนี้ เหล่าผู้พัฒนาเกมรายใหญ่ยังเริ่มนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้ด้วย

พระราชบัญญัติสมาร์ทโฟนฉบับใหม่ห้ามไม่ให้มีสิ่งต่อไปนี้

  • การเรียกเก็บเงินในแอปแบบบังคับ
  • ข้อจำกัดในการวางลิงก์ชำระเงินภายนอกภายในแอป

ข้อดีของการเรียกเก็บเงินนอกแอป

ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมธุรกรรมให้แพลตฟอร์มแอป

หนึ่งในข้อดีที่สำคัญที่สุดของการเรียกเก็บเงินนอกแอปคือไม่มีค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินที่ต้องจ่ายให้กับแพลตฟอร์มแอป ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น ค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินที่เกิดขึ้นจากการเรียกเก็บเงินในแอปนั้นอาจสูงถึง 30% และอาจบังคับให้ธุรกิจต้องแบกรับต้นทุนธุรกรรมที่สูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรของพวกเขา

ในทางกลับกัน ธุรกิจสามารถคาดหวังรายรับที่เพิ่มขึ้นจากการเรียกเก็บเงินนอกแอปได้ เนื่องจากไม่มีค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงิน โดยรายรับที่เพิ่มขึ้นสามารถเกิดขึ้นได้แม้ว่าธุรกิจจะกำหนดราคาเท่ากับการเรียกเก็บเงินในแอปก็ตาม หรืออีกทางหนึ่ง เนื่องจากธุรกิจไม่จำเป็นต้องบวกค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินเข้าไปในราคา พวกเขาก็สามารถเสนอบริการที่มีราคาถูกลงได้

วิธีการชำระเงินที่ครอบคลุม

เมื่อใช้การเรียกเก็บเงินในแอป ลูกค้าจะสามารถใช้ได้เพียงวิธีการชำระเงินที่แพลตฟอร์มแอปกำหนดให้เท่านั้น การมีตัวเลือกการชำระเงินที่จำกัดอาจทำให้ความพึงพอใจของผู้ใช้ลดลง นอกเหนือจากนั้น ธุรกิจอาจไม่สามารถรองรับวิธีการชำระเงินที่แพลตฟอร์มแอปจัดเตรียมไว้ได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อใช้การเรียกเก็บเงินนอกแอป ธุรกิจจะสามารถจัดการการชำระเงินได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสามารถเพิ่มจำนวนตัวเลือกการชำระเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า หรือตั้งค่าระบบการขายและระบบคะแนนเฉพาะตัวได้ ซึ่งความยืดหยุ่นนี้อาจทำให้ความพึงพอใจของลูกค้าสูงขึ้นได้

ข้อเสียของการเรียกเก็บเงินนอกแอป

ทรัพยากรและความยุ่งยากในการตั้งระบบชำระเงินภายในองค์กร

หากต้องการนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้ ธุรกิจสามารถเลือกได้ว่าจะสร้างสภาพแวดล้อมการชำระเงินของตนเองบนเว็บไซต์ภายนอกที่เชื่อมโยงกับแอปของตน หรือว่าจะใช้ตัวแทนด้านการชำระเงิน

หากธุรกิจตัดสินใจที่จะตั้งระบบชำระเงินของตนเอง ธุรกิจควรพิจารณากระบวนการต่างๆ รวมถึงค่าใช้จ่ายเริ่มต้น ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง และมาตรการรักษาความปลอดภัยที่รัดกุมเพื่อป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและการรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว ดังนั้น การรองรับการเรียกเก็บเงินนอกแอปจึงอาจเพิ่มภาระงานให้กับพนักงานได้

เพื่อจัดการกับข้อกังวลเหล่านี้ ธุรกิจสามารถใช้ตัวแทนด้านการชำระเงินเพื่อจัดการงานที่เกี่ยวข้องกับการชำระเงินได้ เช่น การทำสัญญากับผู้ให้บริการชำระเงินแต่ละรายและการตั้งระบบชำระเงิน การใช้ตัวแทนด้านการชำระเงินสามารถช่วยลดต้นทุนและเวลาได้เมื่อเทียบกับการสร้างทุกอย่างขึ้นเองภายในองค์กร

ตัวอย่างเช่น เมื่อใช้ตัวแทนด้านการชำระเงินอย่าง Stripe ธุรกิจจะสามารถสร้างสภาพแวดล้อมการชำระเงินที่เหมาะกับสไตล์การดำเนินงานของตนได้โดยไม่ต้องพัฒนาระบบของตัวเอง นอกจากนี้ เนื่องจาก Stripe ได้สร้างการรักษาความปลอดภัยระดับสูงที่ตรงตามข้อกำหนดทั้งหมดของมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (Payment Card Industry Data Security Standard หรือ PCI DSS) ลูกค้าจึงได้รับประสบการณ์การชำระเงินที่ปลอดภัยที่พวกเขาสามารถไว้วางใจได้

ไม่มีการชำระเงินภายในแอป

ลูกค้าบางรายอาจชอบที่จะทำขั้นตอนการชำระเงินทั้งหมดให้เสร็จสิ้นภายในแอป เมื่อทำการชำระเงินผ่านการเรียกเก็บเงินนอกแอป ระบบจะเปลี่ยนเส้นทางลูกค้าจากแอปไปยังเว็บไซต์ภายนอก ซึ่งลูกค้าบางรายอาจมองว่านี่เป็นกระบวนการที่ยุ่งยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพวกเขาต้องการการชำระเงินที่ง่ายกว่า

อย่างไรก็ตาม ลูกค้าจำนวนมากก็เห็นคุณค่าในการมีวิธีการชำระเงินที่ตนชื่นชอบให้ใช้งานได้ทันทีเช่นกัน สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าความชอบของลูกค้าเป็นตัวกำหนดประโยชน์ของการเรียกเก็บเงินในแอปเทียบกับการเรียกเก็บเงินนอกแอป ดังนั้นการตัดสินว่าวิธีใดดีกว่าจึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย

สิ่งที่ต้องพิจารณาเมื่อนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้

ความคุ้มค่าด้านต้นทุน

ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น ธุรกิจสามารถคาดหวังความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นจากการเรียกเก็บเงินนอกแอปได้เมื่อเทียบกับการเรียกเก็บเงินในแอป อย่างไรก็ตาม เมื่อนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้ สิ่งสำคัญคือต้องประเมินความสามารถในการทำกำไรในระยะยาวของวิธีนี้ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น ธุรกิจจึงควรประเมินว่าวิธีใดมีประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากกว่าสำหรับการเติบโต ซึ่งวิธีที่เหมาะอาจเป็นการใช้การเรียกเก็บเงินในแอปที่กำหนดให้ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินให้กับแพลตฟอร์มแอป อย่างไรก็ตาม การสร้างและการใช้งานสภาพแวดล้อมการชำระเงินบนเว็บไซต์ของบริษัทสำหรับการเรียกเก็บเงินนอกแอปก็อาจเป็นประโยชน์กว่า

เมื่อนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้และจ้างตัวแทนด้านการชำระเงิน ธุรกิจควรตรวจสอบโครงสร้างค่าธรรมเนียมอย่างละเอียดก่อน แล้วค่อยพูดคุยเกี่ยวกับงบประมาณและใบเสนอราคา

ความสามารถในการใช้งาน

ระหว่างการเรียกเก็บเงินนอกแอปกับในแอป การพิจารณาว่าวิธีใดดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับลูกค้าแต่ละราย หากธุรกิจนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้กับเว็บไซต์ภายนอกที่ไม่เป็นมิตรกับผู้ใช้ ลูกค้าที่คุ้นเคยกับการเรียกเก็บเงินในแอปแบบดั้งเดิมอาจรู้สึกว่าไม่สะดวก อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ลูกค้าจะยกเลิกการซื้อมากขึ้น ดังนั้น สำหรับการเรียกเก็บเงินนอกแอป ให้พิจารณาประเด็นต่อไปนี้เมื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่กำลังดำเนินการชำระเงินภายนอกแอป

  • หน้าการชำระเงินภายนอกที่เข้าถึงเมื่อออกจากแอปควรจะดูได้ง่าย
  • ขั้นตอนตั้งแต่การยืนยันตัวตนจนถึงการชำระเงินสำเร็จควรง่ายและรวดเร็ว
  • ควรมีวิธีการชำระเงินที่หลากหลายนอกเหนือจากการชำระด้วยบัตรเครดิต เช่น การชำระเงินผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์และการชำระเงินด้วยรหัส QR

การรับรู้เกี่ยวกับเว็บไซต์ภายนอก

เมื่อนำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้ สิ่งสำคัญคือต้องวางแผนแคมเปญสร้างการรับรู้และความพยายามในการหาลูกค้าสำหรับเว็บไซต์ภายนอก หากเว็บไซต์ภายนอกไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ธุรกิจที่นำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้อาจไม่สามารถดึงดูดลูกค้าไปยังเว็บไซต์นั้นได้ ดังนั้น ธุรกิจจึงอาจสร้างมูลค่าได้ยาก

ธุรกิจควรพิจารณาใช้มาตรการบางอย่างเพื่อกระตุ้นการเข้าชมเว็บไซต์ของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจสามารถเน้นย้ำเรื่องความสะดวกในการประมวลผลการชำระเงินไว้ในส่วนภาพรวมของเว็บไซต์ได้ โดยลูกค้าจะสามารถดูข้อมูลนี้ได้ก่อนที่จะดาวน์โหลดแอป นอกจากนี้ ธุรกิจยังสามารถส่งการแจ้งเตือนเกี่ยวกับข้อเสนอและแคมเปญการขายแบบจำกัดเวลาไปยังที่อยู่อีเมลที่ลงทะเบียนไว้ได้อีกด้วย

ตัวอย่างของบริษัทที่มีการเรียกเก็บเงินนอกแอป

COLOPL

COLOPL, Inc. เป็นบริษัทญี่ปุ่นที่พัฒนาและให้บริการเกมออนไลน์ โดยบริษัทได้นำการเรียกเก็บเงินนอกแอปมาใช้ ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถซื้อไอเท็มในเกมได้ในราคาที่ย่อมเยากว่าจากเว็บไซต์ภายนอก เมื่อเทียบกับการซื้อผ่านแพลตฟอร์มแอป

เกมหลักของ COLOPL ที่รองรับการเรียกเก็บเงินนอกแอป ได้แก่ White Cat Project NEW WORLD’S และ Black Cat Wiz ซึ่งวิธีการซื้อนั้นเรียบง่าย โดยลูกค้าสามารถคัดลอกรหัสลิงก์ที่ระบุไว้ในส่วนความช่วยเหลือของเกม หรือจะเข้าถึงร้านค้าทางการผ่านแบนเนอร์ในเกมและเว็บไซต์ทางการของแต่ละเกมก็ได้

GameWith

GameWith ดำเนินการแพลตฟอร์มสื่อการแนะนำเกมและกลยุทธ์การเล่นเกมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น นอกจากนี้ บริษัทยังได้ริเริ่มมาตรการเพื่อส่งเสริมการเรียกเก็บเงินนอกแอปด้วย โดยหลักๆ แล้ว GameWith จะสร้างรายรับจากการโฆษณา แต่แอปของบริษัทก็มีการใช้งานโดยผู้เล่นเกมบนสมาร์ทโฟนจำนวนมากเช่นกัน

เมื่อพิจารณาในบริบทของตลาดเกมมือถือในวงกว้าง ผู้ใช้แอปของ GameWith แสดงแนวโน้มการใช้จ่ายที่สูงขึ้นและใช้จ่ายในจำนวนที่มากขึ้น ดังนั้น ด้วยการสร้างช่องทางการเรียกเก็บเงินนอกแอปบน GameWith บริษัทจึงคาดหวังว่าจะสามารถเข้าถึงลูกค้าที่มีความต้องการใช้จ่ายสูงได้ง่ายขึ้น

ตัวอย่างที่เจาะจงอย่างหนึ่งคือกลไกของ GameWith ในการนำลูกค้าไปยังหน้าการซื้อของไอเท็มที่เกี่ยวข้องได้อย่างราบรื่น บริษัทบรรลุการทำเช่นนี้ได้โดยการวางแบนเนอร์ไอเท็มไว้ภายในบทความกลยุทธ์การเล่นเกมที่จัดทำโดยแอปนี้ และเชื่อมโยงแบนเนอร์แต่ละรายการเข้ากับบริการเรียกเก็บเงินนอกแอป

Netflix

Netflix เป็นผู้ให้บริการสตรีมมิงรายใหญ่ที่ใช้ระบบการสมัครสมาชิก โดยบริษัทจะแสดงข้อความว่า "คุณต้องการสมัคร Netflix หรือไม่" ภายในแอป ซึ่งลิงก์นี้จะนำลูกค้าที่ต้องการสมัครสมาชิกไปยังเว็บไซต์ของบริษัท เมื่อลูกค้าสมัครสมาชิกเสร็จสิ้นและมีการดำเนินการชำระเงินแล้ว พวกเขาจะสามารถรับชมภาพยนตร์และรายการทีวีบนแอปนี้ได้ วิธีนี้เป็นการหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมการประมวลผลการชำระเงินที่บริษัทจะต้องเสียให้กับแพลตฟอร์มแอปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Stripe Checkout ช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้

Stripe Checkout เป็นรูปแบบการชำระเงินสำเร็จรูปที่สามารถปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยให้คุณรับชำระเงินบนเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้ง่ายๆ

Checkout สามารถช่วยคุณทำสิ่งเหล่านี้ได้

  • เพิ่มการเปลี่ยนเป็นผู้ใช้แบบชำระเงิน: การออกแบบที่เหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่และขั้นตอนการชำระเงินแบบคลิกเดียวของ Checkout ทำให้ลูกค้าสามารถป้อนและนำข้อมูลการชำระเงินกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างง่ายดาย
  • ลดเวลาในการพัฒนา: ฝัง Checkout ลงในเว็บไซต์ของคุณโดยตรง หรือส่งลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่โฮสต์โดย Stripe ด้วยโค้ดเพียงไม่กี่บรรทัด
  • ปรับปรุงความปลอดภัย: Checkout จะจัดการข้อมูลบัตรที่ละเอียดอ่อน ทำให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ได้ง่ายขึ้น
  • ขยายไปทั่วโลก: แปลงค่าบริการเป็นสกุลเงินต่างๆ ได้มากกว่า 100 สกุลเงินด้วย Adaptive Pricing ซึ่งรองรับมากกว่า 30 ภาษา และแสดงวิธีการชำระเงินแบบไดนามิกที่มีแนวโน้มจะเพิ่มการเปลี่ยนเป็นลูกค้าแบบชำระเงินได้มากที่สุด
  • ใช้ฟีเจอร์ขั้นสูง: ผสานการทำงานของ Checkout กับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Stripe เช่น Billing สำหรับการชำระเงินตามรอบบิล, Radar สำหรับการป้องกันการฉ้อโกง และอื่นๆ อีกมากมาย
  • รักษาการควบคุม: ปรับแต่งประสบการณ์การชำระเงินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการบันทึกวิธีการชำระเงินและการตั้งค่าการดำเนินการหลังการซื้อ

ดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า Checkout ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้ขั้นตอนการชำระเงินได้อย่างไร หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้

เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ

บทความอื่นๆ

  • เกิดข้อผิดพลาดบางอย่าง โปรดลองอีกครั้งหรือติดต่อฝ่ายสนับสนุน

หากพร้อมเริ่มใช้งานแล้ว

สร้างบัญชีและเริ่มรับการชำระเงินโดยไม่ต้องทำสัญญาหรือระบุรายละเอียดเกี่ยวกับธนาคาร หรือติดต่อเราเพื่อสร้างแพ็กเกจที่ออกแบบเองสำหรับธุรกิจของคุณ
Checkout

Checkout

ผสานรวม Checkout เข้ากับเว็บไซต์โดยตรงหรือนำลูกค้าไปยังหน้าเว็บที่จัดการโดย Stripe เพื่อให้รับการชำระเงินแบบครั้งเดียวหรือการชำระเงินตามรอบบิลได้อย่างปลอดภัยและง่ายดาย

Stripe Docs เกี่ยวกับ Checkout

สร้างแบบฟอร์มการชำระเงินที่เขียนโค้ดเพียงเล็กน้อยและผสานรวมกับเว็บไซต์ของคุณหรือโฮสต์ไว้ในระบบของ Stripe
Proxying: stripe.com/th/resources/more/what-is-out-of-app-billing-japan