การชำระเงินด้วยบัตรช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบาย แต่การรับชำระเงินด้วยบัตรส่งผลให้ธุรกิจมีงานที่ต้องทำเพิ่มขึ้นอีกมากทีเดียว ธุรกิจที่จัดการการชำระเงินด้วยบัตรจะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI อยู่เสมอ แต่มีองค์กรเพียง 14.3% ที่ทำได้ในปี 2023 การปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยข้อมูลสำหรับอุตสาหกรรมบัตรชำระเงิน (PCI DSS) ให้ได้ครบทุกข้อก็เป็นเรื่องยากมาก ซึ่งอาจครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่การกรอกแบบสอบถามสั้นๆ ไปจนถึงการระดมทุนสำหรับโปรแกรมรักษาความปลอดภัยระดับองค์กร โดยหลายๆ ทีมก็มีคำถามสำคัญว่า ต้องเสียค่าใช้จ่ายเท่าใดในการดำเนินการให้ถูกต้อง และจะเกิดอะไรขึ้นหากทำไม่ได้ตามนั้น
จากนี้ เราจะพาไปดูว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI คืออะไร มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่าย รวมถึงความเสี่ยงของธุรกิจ
เนื้อหาหลักในบทความ
- การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI คืออะไร แล้วทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจที่จัดการการชำระเงิน
- การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI มีค่าใช้จ่ายเท่าใดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง และใหญ่
- มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI
- การอัปเกรดเทคโนโลยีและการรักษาความปลอดภัยจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI อย่างไร
- การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI มีค่าใช้จ่ายแฝงหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดอะไรบ้าง
- การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด PCI จะส่งผลให้มีความเสี่ยงทางการเงินอะไรบ้าง
- Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง
การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI คืออะไร แล้วทำไมจึงสำคัญต่อธุรกิจที่จัดการการชำระเงิน
PCI DSS เป็นเฟรมเวิร์กที่เครือข่ายบัตรรายใหญ่ๆ กำหนดขึ้นเพื่อปกป้องข้อมูลทางการเงินของลูกค้าและลดความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงทั่วโลก เฟรมเวิร์กนี้มีข้อกำหนดหลักอยู่ 12 ข้อ ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่การเข้ารหัสข้อมูลบัตรและการรักษาเครือข่ายให้ปลอดภัยไปจนถึงระบบติดตามตรวจสอบและการฝึกอบรมพนักงาน การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ก็คือการปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านี้นั่นเอง ซึ่งเป็นพื้นฐานการรักษาความปลอดภัยที่ใช้กันทั่วโลกสำหรับธุรกิจที่ยอมรับ ประมวลผล หรือจัดเก็บข้อมูลบัตรเครดิต โดยทุกธุรกิจที่จัดการบัตรชำระเงิน (ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าอีคอมเมิร์ซที่มีเจ้าของคนเดียวหรือแพลตฟอร์มข้ามชาติ) ก็จะต้องปฏิบัติตาม PCI DSS
เครือข่ายบัตรจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อกำหนด แต่การปฏิบัติตามข้อกำหนดจะช่วยให้ธุรกิจป้องกันการละเมิดและบทลงโทษที่ส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายสูงตามมาได้ ทั้งยังช่วยสร้างชื่อเสียงที่คุณมีต่อธนาคาร พาร์ทเนอร์ และลูกค้าด้วย มาตรการควบคุมความปลอดภัยแบบเดียวกับที่ช่วยให้คุณปฏิบัติตามข้อกำหนด (เช่น การเข้ารหัส การติดตามตรวจสอบ การควบคุมการเข้าถึง) จะช่วยป้องกันการหยุดทำงาน การฉ้อโกง และปัญหาด้านกฎระเบียบในภายหลังได้
การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI มีค่าใช้จ่ายเท่าใดสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง และใหญ่
ค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI จะแตกต่างกันไปตามขนาดธุรกิจ ความซับซ้อนของระบบการชำระเงิน และความใกล้เคียงกับมาตรฐานของคุณ
การปฏิบัติจริงจะมีลักษณะดังนี้
ธุรกิจขนาดเล็ก: บริษัทเหล่านี้จะต้องกรอกแบบสอบถามการประเมินตนเอง (Self-Assessment Questionnaire หรือ SAQ) ใช้บริการสแกนที่ได้รับอนุมัติ และพัฒนาระบบให้ทันสมัยอยู่เสมอ ผู้ประมวลผลการชำระเงินบางรายจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม PCI รายปีเล็กน้อย แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมจะไม่มากและคาดการณ์ได้ ซึ่งมักจะมีค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 1,000–10,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
บริษัทขนาดกลาง: มักมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น การสแกนหาช่องโหว่รายไตรมาส การทดสอบเจาะระบบประจำปี ความช่วยเหลือในการให้คำปรึกษาเป็นครั้งคราว และการฝึกอบรมพนักงาน ธุรกิจเหล่านี้อาจต้องอัปเกรดหรือแบ่งส่วนเครือข่ายเพื่อจำกัดพื้นที่เก็บข้อมูลบัตรและช่วยให้การปฏิบัติตามข้อกำหนดอยู่ในขอบเขตที่พอจะจัดการได้ ซึ่งบริษัทมักจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 10,000–50,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
องค์กรขนาดใหญ่: บริษัทเหล่านี้จะใช้โปรแกรมการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างเต็มรูปแบบ เช่น การตรวจสอบประจำปีโดยผู้ประเมินความปลอดภัยที่มีคุณสมบัติตามข้อกำหนด (QSA) เครื่องมือรักษาความปลอดภัยและติดตามตรวจสอบระดับองค์กร โซลูชันการเข้ารหัส และบุคลากรเฉพาะทาง บางบริษัทยังวางแผนดำเนินงานแก้ไขเป็นประจำทุกปีเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่พบในการตรวจสอบด้วย ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายรวมเพิ่มสูงขึ้น ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 50,000 ดอลลาร์สหรัฐและอาจสูงถึง 250,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
ตัวเลขเหล่านี้แสดงถึงค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดแบบเชิงรุกของธุรกิจทุกขนาด เมื่อธุรกิจอัปเดตช้า ละเลยการตรวจสอบตามปกติ หรือมีการละเมิดข้อมูล ค่าใช้จ่ายก็อาจพุ่งสูงขึ้นได้ คุณควรมองว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI เป็นการลงทุนต่อเนื่อง เพราะการปรับปรุงระบบให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอมักจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการตามเก็บกวาดปัญหาหลังเกิดวิกฤต
มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI
นอกจากขนาดธุรกิจแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ด้วย เช่น การขยายการรองรับ ขอบเขต และการควบคุม ยิ่งระบบของคุณจัดการข้อมูลบัตรโดยตรงมากเท่าไหร่ การปฏิบัติตามข้อกำหนดของคุณก็จะยิ่งซับซ้อน (และมีค่าใช้จ่ายสูง) มากขึ้นตามไปด้วย
ปัจจัยหลักๆ ที่ส่งผลต่อจำนวนเงินที่คุณต้องจ่ายมีดังนี้
ขนาดธุรกิจและปริมาณธุรกรรม: PCI Security Standards Council แบ่งประเภทบริษัทตามปริมาณธุรกรรมรายปี ตั้งแต่ระดับ 1 (มากกว่า 6 ล้านรายการ) ไปจนถึงระดับ 4 (ไม่ถึง 20,000 รายการ) ยิ่งปริมาณมากขึ้น ก็ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งมักจะเป็นการตรวจสอบอย่างเต็มรูปแบบโดย QSA
ระบบสำหรับข้อมูลบัตร: ยิ่งระบบข้อมูลเจ้าของบัตรของคุณครอบคลุมเป็นวงกว้างแค่ไหน การปฏิบัติตามข้อกำหนดที่จะยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปด้วย การลดความซับซ้อนของขั้นตอนด้านข้อมูลหรือใช้การแปลงโทเค็นจะช่วยลดขอบเขตและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของคุณได้อย่างมาก
โครงสร้างพื้นฐานด้านความปลอดภัย: บริษัทที่มีแนวทางปฏิบัติด้านความปลอดภัยเป็นอย่างดี (เช่น ไฟร์วอลล์ที่รัดกุม การเข้ารหัส การควบคุมการเข้าถึง) ก็มักจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI DSS ได้เร็วกว่าและเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าที่คาดไว้ในปีแรก ส่วนธุรกิจที่เริ่มจากศูนย์ก็มักจำเป็นต้องลงทุนกับระบบใหม่ๆ การสแกนหาช่องโหว่ และเครื่องมือแพตชิ่ง (Patching) ก่อนจึงจะเริ่มการตรวจสอบได้
การประเมินและตรวจสอบความถูกต้อง: ทุกธุรกิจต้องพิสูจน์การปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นประจำทุกปี ธุรกิจขนาดเล็กจะกรอก SAQ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 300 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนองค์กรขนาดใหญ่จะต้องมีรายงานการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Report on Compliance หรือ ROC) จาก QSA โดยกำลังคนภายในองค์กรมักคิดเป็นสัดส่วนสูงจากค่าใช้จ่ายด้าน PCI ทั้งหมด
การฝึกอบรมและการบำรุงรักษา: การให้ความรู้อย่างต่อเนื่องและการพัฒนาระบบอยู่เสมอก็เป็นส่วนหนึ่งของค่าใช้จ่ายทั้งหมด โดยบริษัทมักจะใช้จ่าย 50–100 ดอลลาร์สหรัฐต่อพนักงาน 1 คนในการฝึกอบรม ทั้งยังมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นประจำในการสแกนหาช่องโหว่รายไตรมาสและการทดสอบเจาะระบบประจำปี
การใช้ผู้ให้บริการจากภายนอก: การให้แพลตฟอร์ม PCI ระดับ 1 เช่น Stripe เข้ามาดูแลการประมวลผลการชำระเงินจะช่วยให้บริษัทไม่ต้องจัดการข้อกำหนดต่างๆ ที่มีค่าใช้จ่ายสูงเกี่ยวกับการจัดเก็บหรือรักษาความปลอดภัยให้กับข้อมูลบัตร ธุรกิจที่ใช้ระบบการชำระเงินแบบแปลงเป็นโทเค็นหรือแบบโฮสต์ก็จะลดขอบเขตการตรวจสอบและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดประจำปีลงได้อย่างมาก
การอัปเกรดเทคโนโลยีและการรักษาความปลอดภัยจะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI อย่างไร
การอัปเกรดเทคโนโลยีมักเป็นการลงทุนครั้งเดียวที่ใหญ่ที่สุดในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI การทำเช่นนี้จะมีค่าใช้จ่ายสูงในช่วงแรก แต่จะช่วยปกป้ององค์กรของคุณจากการสูญหายของข้อมูล การฉ้อโกง และการหยุดทำงาน
รายละเอียดของค่าใช้จ่ายเหล่านั้นมีดังนี้
เครือข่ายและโครงสร้างพื้นฐาน: การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI DSS มักเป็นการเลิกใช้อุปกรณ์รุ่นเก่าหรือระดับผู้บริโภค แล้วเปลี่ยนมาใช้ไฟร์วอลล์ เราเตอร์ และเครื่องมือแบ่งส่วนเครือข่ายระดับองค์กรแทน ในส่วนของธุรกิจขนาดเล็ก ก็อาจมีค่าใช้จ่ายเพียงไม่กี่พันดอลลาร์ แต่สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่มีหลายระบบ ก็จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมากในการอัปเกรดฮาร์ดแวร์ ใบอนุญาต และการกำหนดค่า
การเข้ารหัสและการคุ้มครองข้อมูล: การจัดเก็บหรือส่งข้อมูลบัตรจะต้องมีการเข้ารหัสที่รัดกุม หรือหากจะให้ดีก็ต้องมีการแปลงโทเค็น การใช้การเข้ารหัสขณะจัดเก็บหรือระบบการจัดการคีย์ก็อาจมีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันไปจนถึงหลายหมื่นดอลลาร์ต่อปี การชำระเงินแบบแปลงเป็นโทเค็น (ซึ่งป้องกันไม่ให้ข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเข้ามาในเซิร์ฟเวอร์ของคุณ) จะช่วยลดขอบเขตการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI ให้คุณได้อย่างมาก
ระบบและอุปกรณ์การชำระเงินที่ปลอดภัย: ธุรกิจซึ่งมีการชำระเงินที่จุดขายมักจะอัปเกรดมาใช้ระบบบันทึกการขาย (POS) ที่ผ่านการตรวจสอบจาก PCI หรือเครื่องอ่านบัตรที่มีการเข้ารหัส โดยอุปกรณ์เหล่านี้มักมีราคาไม่กี่ร้อยดอลลาร์ต่อชิ้น แต่การเปลี่ยนฮาร์ดแวร์ที่ล้าสมัยในหลายๆ จุดก็อาจส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายพุ่งสูงขึ้นได้
การติดตามตรวจสอบ การบันทึก และการตรวจจับการบุกรุก: PCI DSS กำหนดให้มีการติดตามตรวจสอบและการบันทึกอย่างต่อเนื่องสำหรับระบบที่จัดการข้อมูลบัตร การใช้ระบบการจัดการข้อมูลและเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย (SIEM) หรือบริการบันทึกที่มีการจัดการอาจมีค่าใช้จ่าย 10,000–100,000 ดอลลาร์สหรัฐ ระบบเหล่านี้สำคัญในการตรวจจับปัญหาตั้งแต่เนิ่นๆ และยืนยันการปฏิบัติตามข้อกำหนด
ความปลอดภัยของระบบและเครื่องมือแพตชิ่ง: การจัดการแพตช์อัตโนมัติและเครื่องมือป้องกันปลายทางจะช่วยให้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดอยู่เสมอ ใบอนุญาตมักจะมีค่าใช้จ่ายเล็กน้อยต่ออุปกรณ์ในแต่ละปี และแม้ว่าค่าใช้จ่ายจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในองค์กรขนาดใหญ่ แต่ก็ยังน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับราคาที่ต้องจ่ายเมื่อเกิดการละเมิด
การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI มีค่าใช้จ่ายแฝงหรือค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดอะไรบ้าง
แม้แต่ธุรกิจที่เตรียมพร้อมมาอย่างดีก็ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI โดยธุรกิจมักมองข้ามกำลังคนจำนวนมากที่ใช้ในการเปลี่ยนแปลงขั้นตอน การอัปเกรดระบบ และการประเมินขอบเขต และค่าใช้จ่ายเหล่านี้ก็อาจทำให้องค์กรของคุณต้องเสียเงินและเวลาเพิ่มขึ้นได้
ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดมักมีดังนี้
เวลาและกำลังคนภายในองค์กร: เวลาและกำลังคนภายในองค์กรมักเป็นค่าใช้จ่ายแอบแฝงที่ใหญ่ที่สุด การเตรียมพร้อมรับการตรวจสอบ การรวบรวมหลักฐาน และการแก้ไขปัญหาที่พบอาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์และมีการใส่ใจจากหลายทีม ซึ่งทำให้องค์กรขนาดกลางและใหญ่เสียประสิทธิภาพการทำงานไปอย่างมาก
การพึ่งพาบุคคลที่สาม: การปฏิบัติตามข้อกำหนดไม่ได้หยุดอยู่แค่ไฟร์วอลล์เท่านั้น คุณมีหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้ให้บริการทุกรายที่เข้าถึงข้อมูลบัตร เช่น โฮสต์ระบบคลาวด์ เกตเวย์การชำระเงิน เครื่องมือทางการตลาด และแม้แต่คอลเซ็นเตอร์ ซึ่งบางครั้ง ระบบหรือขั้นตอนของผู้ให้บริการก็ไม่ได้เป็นไปตามกฎของ PCI ซึ่งบังคับให้คุณต้องเปลี่ยนผู้ให้บริการหรืออัปเกรดเป็นระดับที่สูงขึ้น (และมีราคาแพงขึ้น) เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนด
การอัปเกรดระบบโดยไม่ได้วางแผนไว้: คุณอาจต้องเปลี่ยนซอฟต์แวร์บันทึกการโทรที่ล้าสมัย ระบบปฏิบัติการที่ไม่รองรับ หรืออุปกรณ์ POS รุ่นเก่าในทันที การอัปเกรดโดยขาดงบประมาณเหล่านี้อาจแปรเปลี่ยนเป็นโปรเจ็กต์ที่ใช้งบประมาณหลักหมื่นได้เลย โดยเฉพาะธุรกิจที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานแบบเก่าอยู่
การชะลอตัวในการดำเนินงาน: บางครั้ง การปฏิบัติตามข้อกำหนดก็ทำให้เกิดจุดตรวจสอบใหม่ๆ เช่น การอนุมัติการเข้าถึงที่เข้มงวดขึ้นและการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น ซึ่งอาจทำให้ขั้นตอนการทำงานในแต่ละวันช้าลง การคำนึงถึงการปฏิบัติตามข้อกำหนดในการดำเนินงานตามปกติตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยลดปัญหาในเรื่องนี้ได้
การกำหนดขอบเขตที่ขาดประสิทธิภาพ: การปฏิบัติตามข้อกำหนดมากเกินไปก็อาจมีค่าใช้จ่ายสูงพอๆ กับการทำไม่ได้ตามข้อกำหนด หากคุณมีหลายระบบอยู่ในขอบเขต PCI ทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น (เช่น การใช้มาตรการควบคุมกับระบบที่ไม่มีเจ้าของบัตร) คุณก็จะเสียค่าใช้จ่ายเกินจำเป็น การแบ่งส่วนเครือข่ายอย่างชาญฉลาดและการแปลงโทเค็นจะช่วยลดขอบเขตและค่าใช้จ่ายลงได้
ค่าเสียโอกาส: โปรเจ็กต์การปฏิบัติตามข้อกำหนดจะทำให้พนักงานที่มีทักษะต้องเสียเวลาหลายสัปดาห์ไปกับการจัดทำเอกสาร การทดสอบ และการแก้ไข ทั้งๆ ที่สามารถเอาเวลาตรงนี้ไปใช้กับงานที่สร้างรายได้หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้ หลายบริษัทก็ประเมินต่ำเกินไปว่าทีมวิศวกรรม ทีมปฏิบัติการ และทีมกฎหมายจะต้องให้ความใส่ใจมากน้อยแค่ไหนในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI
ค่าธรรมเนียมผู้ประมวลผลและสถาบันผู้รับบัตร: ผู้ประมวลผลการชำระเงินบางรายจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียม "การปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PCI" หรือ "การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด" เป็นประจำ ซึ่งมักจะเป็นจำนวนเล็กน้อย แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณดำเนินการในหลายบัญชีหรือหลายภูมิภาค
การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด PCI จะส่งผลให้มีความเสี่ยงทางการเงินอะไรบ้าง
คุณอาจรู้สึกว่าการปฏิบัติตามข้อกำหนดเป็นเรื่องที่ทำให้เสียเงิน แต่ก็เป็นวิธีจัดการความเสี่ยงทางการเงินที่มีประสิทธิภาพและควรลงทุน แต่หากไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนด ก็จะเกิดผลกระทบทางการเงินตามมา เช่น ค่าปรับ ค่าใช้จ่ายในการละเมิด และการสูญเสียความไว้วางใจที่มีต่อธุรกิจ
การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอาจส่งผลดังนี้
ค่าปรับและบทลงโทษ: เครือข่ายการชำระเงินและธนาคารที่รับการชำระเงินอาจกำหนดบทลงโทษร้ายแรงไว้สำหรับการละเมิด PCI ตั้งแต่ 500–500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และหากเกิดการละเมิดข้อมูล ค่าปรับเหล่านั้นก็อาจเพิ่มขึ้นเป็นหลายแสนดอลลาร์ได้เลย โดยขึ้นอยู่กับจำนวนเจ้าของบัตรที่ได้รับผลกระทบ
ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบการละเมิดและการแก้ไข: หลังเกิดการละเมิด คุณจะต้องจ้างนักตรวจสอบ PCI ทางนิติวิทยาศาสตร์ (PCI Forensic Investigator) เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น แค่ขั้นตอนนี้ก็อาจมีค่าใช้จ่าย 8,000–100,000 ดอลลาร์สหรัฐแล้ว พอมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนบัตรเพิ่มเข้ามา ค่าใช้จ่ายในการรับมือโดยตรงของคุณก็อาจเพิ่มสูงถึงหกหลักได้ง่ายๆ
ความเสี่ยงทางกฎหมายและการระงับข้อพิพาท: การละเมิดข้อมูลมักนำมาซึ่งการฟ้องร้องหรือการสืบสวนตามระเบียบ การสู้คดีทางกฎหมาย การระงับข้อพิพาท และการเยียวยาลูกค้า (เช่น การตรวจสอบเครดิต) อาจทำให้ค่าใช้จ่ายรวมจากเหตุการณ์ไปถึงหลักล้านได้เลย โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยทั่วโลกของการละเมิดข้อมูลอยู่ที่ 4.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025
การสูญเสียสิทธิ์ในการประมวลผล: หากธุรกิจถือว่ามีความเสี่ยงสูงหลังเกิดการละเมิด ธนาคารที่รับการชำระเงินหรือผู้ประมวลผลอาจระงับหรือยุติการประมวลผลบัตรไปเลยก็ได้ และเมื่อคุณไม่สามารถรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิตได้ (แม้จะเป็นเพียงชั่วคราว) ก็อาจเกิดผลเสียต่อกระแสเงินสดและบั่นทอนความสัมพันธ์กับลูกค้าได้
การเสื่อมเสียชื่อเสียง: แม้ว่าคุณจะแก้ไขผลที่เกิดจากบทลงโทษทางการเงินได้ แต่การเสื่อมเสียชื่อเสียงย่อมใช้เวลาแก้ไขนานกว่านั้น ค่าใช้จ่ายในการสร้างความไว้วางใจขึ้นมาใหม่นั้นวัดได้ยาก แต่มักจะมากกว่าผลกระทบทางการเงินโดยตรง
ผลกระทบด้านการประกันภัยและสัญญา: การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอาจทำให้ความคุ้มครองการประกันภัยทางไซเบอร์เป็นโมฆะหรือเข้าเงื่อนไขในสัญญากับพันธมิตรที่ทำให้ความรับผิดกลับมาตกอยู่กับคุณ แม้ว่าการประกันภัยจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายบางอย่าง แต่เบี้ยประกันภัยก็น่าจะพุ่งสูงสุดหลังเกิดปัญหาครั้งใหญ่
Stripe Payments ช่วยอะไรได้บ้าง
Stripe Payments มอบโซลูชันการชำระเงินระดับโลกแบบครบวงจรที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาด ตั้งแต่สตาร์ทอัพที่กำลังเติบโตไปจนถึงองค์กรระดับโลก สามารถรับชำระเงินออนไลน์ ที่จุดขาย และทั่วโลกได้
Stripe Payments ช่วยคุณทำสิ่งต่อไปนี้ได้
เพิ่มประสิทธิภาพให้ประสบการณ์การชำระเงินของคุณ: สร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นให้กับลูกค้าและประหยัดเวลาในการทำงานวิศวกรรมได้หลายพันชั่วโมงด้วย UI การชำระเงินที่สร้างไว้ให้แล้ว, สิทธิ์เข้าถึงวิธีการชำระเงินมากกว่า 125 วิธี และ Link ซึ่งเป็นกระเป๋าเงินที่สร้างโดย Stripe
ขยายไปสู่ตลาดใหม่ๆ ได้เร็วขึ้น: เข้าถึงลูกค้าทั่วโลกและลดความซับซ้อนและค่าใช้จ่ายในการจัดการหลายสกุลเงินด้วยตัวเลือกการชำระเงินข้ามพรมแดนที่มีให้บริการใน 195 ประเทศและกว่า 135 สกุลเงิน
รวมการชำระเงินที่จุดขายและทางออนไลน์ไว้ด้วยกัน: สร้างประสบการณ์การค้าแบบแพลตฟอร์มรวมในช่องทางออนไลน์และที่จุดขายเพื่อปรับแต่งการโต้ตอบให้ตรงกลุ่ม ตอบแทนความภักดี และเพิ่มรายได้
ปรับปรุงประสิทธิภาพการชำระเงิน: เพิ่มรายรับด้วยเครื่องมือการชำระเงินที่กำหนดเองได้และปรับแต่งได้ง่ายๆ ซึ่งรวมถึงระบบป้องกันการฉ้อโกงแบบไม่ต้องเขียนโค้ดและฟังก์ชันขั้นสูงเพื่อเพิ่มอัตราการอนุมัติ
เดินหน้าได้เร็วขึ้นด้วยแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและเชื่อถือได้เพื่อการเติบโต: สร้างบนแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อขยับขยายไปพร้อมกับคุณ โดยมีระยะเวลาให้บริการที่แทบจะไม่หยุดทำงานเลย และมีความน่าเชื่อถือสูงในระดับแนวหน้าของอุตสาหกรรม
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีที่ Stripe Payments สามารถขับเคลื่อนการชำระเงินออนไลน์และที่จุดขายได้ หรือเริ่มใช้งานเลยวันนี้
เนื้อหาในบทความนี้มีไว้เพื่อให้ข้อมูลทั่วไปและมีจุดประสงค์เพื่อการศึกษาเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นคําแนะนําทางกฎหมายหรือภาษี Stripe ไม่รับประกันหรือรับประกันความถูกต้อง ความสมบูรณ์ ความไม่เพียงพอ หรือความเป็นปัจจุบันของข้อมูลในบทความ คุณควรขอคําแนะนําจากทนายความที่มีอํานาจหรือนักบัญชีที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการในเขตอํานาจศาลเพื่อรับคําแนะนําที่ตรงกับสถานการณ์ของคุณ